สถานที่ตั้ง วัดสิงห์ เลขที่ ๓๕ หมู่ที่ ๓ ถนนเอกชัย ซอยเอกชัย ๔๓ แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๒๔๖ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ เขตวิสุงคามสีมากว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๖๐ เมตร มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ ๑๘ ไร่ ๒ งาน ๑๑ ตรางรางวา โฉนดที่ดิน เลขที่ ๔๐๑๐
อาณาเขต
- ทิศเหนือยาว ๒๕๐ เมตร ติดต่อกับทางรถไฟ
- ทิศใต้ยาว ๑๔๒ เมตร ติดกับคลองบางบอน
- ทิศตะวันออกยาว ๑๕๐ เมตร ติดต่อกับที่ดินเอกชน
- ทิศตะวันตกยาว ๑๕๐ เมตร ติดต่อกับคลองบางโคลัด
และยังมีที่ธรณีสงฆ์อีก ๑ แปลง เนื้อที่ ๒๔ ไร่ ๑ งาน ๗๕ ตรางวา โฉนดที่ดิน เลขที่ ๒๕๙
อาณาเขต
- ทิศเหนือ ติดกับถนนเอกชัย
- ทิศใต้ ติดกับทางรถไฟ
- ทิศตะวันออก ติดกับที่ดินเอกชน
- ทิศตะวันตก ติดกับทางซอยเข้าวัดสิงห์
ที่ดินของวัด วัดสิงห์มีที่ดินรวม ๔๓ ไร่เศษ ในสมัยพระครูอุดมสิกขกิจเป็นเจ้าอาวาส ได้ดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนโดยความอุปถัมภ์ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยใช้ชื่อว่า “โรงเรียนวัดสิงห์” ตามชื่อของวัด และต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนสิงหราชพิทยาคม” และต่อมาอีกเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์” การใช้สถานที่สร้างโรงเรียนนี้ ได้ใช้เนื้อที่ดินของวัดไปประมาณ ๒๒ ไร่เศษ และทางรถไฟได้ตัดผ่านในที่ดินของวัดสิงห์ไปอีกจำนวนหนึ่งประมาณ ๑ ไร่เศษ
ประวัติของวัดสิงห์ ประวัติความเป็นมาของวัดสิงห์ไม่มีท่านผู้ใดรู้เป็นที่แน่นอนแต่เป็นวัดเก่าวัดหนึ่ง ได้เรียนถามหารือท่านผู้ใหญ่ที่มีอายุมากๆ มาหลายท่าน ท่านผู้ใหญ่ทุกท่านไม่กล้าออกความความเห็นที่แน่นอนได้ เป็นแต่ได้พูดเป็นแนวทางให้ความเห็นเป็นส่วนตัวของท่านว่า วัดนี้บางสมัยก็พอจะดีขึ้นบ้าง บางสมัยก็ดูทรุดโทรม จนกระทั่งได้พบหนังสือเรื่อง “บางขุนเทียน ส่วนหนึ่งของแผ่นดินไทยและกรุงรัตนโกสินทร์” ซึ่งคัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ น.ท.สุขุม บุนปาน ร.น. มีข้อความเกี่ยวกับวัดสิงห์ที่ค้นคว้าโดยท่านผู้รู้พอที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังได้ดังนี้
วัดสิงห์มีหลักฐานที่สำคัญทั้งโบราณวัตถุและโบราณสถานที่น่าสนใจหลายยุคหลายสมัย โดยตัวโบสถ์หลังเก่าก่อผนังหนาทรงวิลันดาสมัยอยุธยา หน้าบรรณปั้นปูนรูปลายพะเนียงประดับถ้วย ตอนล่างหน้าบรรณปั้นลักษณะจำลองเขามอ มีประตูเข้าออกด้านหน้า ๒ ช่องประตู ด้านหลังไม่มีประตูและหน้าต่าง คันทวยสลักด้วยไม้สวยงามมาก (ปัจจุบันกำลังบูรณปฏิสังขรณ์) สำหรับใบเสมานั้นเข้าใจว่าจะสร้างในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ คล้ายกับที่วัดพรหมนิวาสน์ (วัดขุนญวน) ที่หัวแหลม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีอักษรจารึกใช้คำว่ากวางตุ้ง ชื่อนายฮวด ผู้สร้าง ด้วย คิดว่าคงจะสั่งทำมาจากกวางตุ้งและได้ส่งอิทธิพลมายังสมัยรัชการที่ ๑ ในปัจจุบันทางวัดสร้างโบสถ์หลังใหม่และใช้เสมาเก่าเฉพาะที่สมบูรณ์ดีเท่านั้น จากนี้จึงพบว่าที่โบสถ์เก่าใช้ลูกนิมิตเป็นก้อนหินธรรมชาติยังไม่ได้สกัดเกลาให้กลมแต่อย่างใด
ส่วนพระประธานในโบสถ์เก่า ทำด้วยก่ออิฐฉาบปูน ลงรักปิดทอง และมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง ซึ่งสมัยก่อนอยู่ในวิหารเก่า ด้านหลังโบสถ์เก่า แล้วได้ย้ายมาไว้ที่หน้าโบสถ์เก่า ปัจจุนี้ ได้อัญเชิญขึ้นไว้ในวิหารหลังใหม่ และได้มาทราบตอนหลังนี้ว่าพระพุทธรูปองค์นี้เป็นเนื้อหินทรายแดง (ศิลาแลง) ลักษณะน่าจะเป็นพระสมัยสุโขทัย หรือสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นพระพุทธรูปปางอู่ทอง นั่งขัดสมาธิ มีร่องรอยทารักสีดำมาก่อนจนชาวบ้านเรียกว่า “หลวงพ่อดำ” กันตลอดมา เมื่อได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนฐานสุกชีในวิหารแล้ว ก็จะลงรักปิดทอง ช่างปิดทองได้ฉาบโป๊วแต่งองค์พระเพื่อให้องค์พระเรียบเนียนแล้วจึงจะลงรักปิดทองได้ เมื่อทำมาตามขั้นตอนแล้วปรากฏว่า ปูนและเคมีที่ฉาบโป๊วไว้นั้นยุ่ยเป็นขุยไม่ติด และจะเปลี่ยนมุขและนิลที่พระเนตรของหลวงพ่อ ก็ปรากฏว่าเนื้อพื้นผิวยุ่ยอีก ได้เคาะที่พระพักต์ของหลวงพ่อปรากฏเสียงดังเหมือนเป็นโพรงข้างใน ก็ได้ค่อยๆเคาะสกัดออก เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เมื่อสกัดเนื้อปูนที่หุ้มอยู่ออกหนา ๒ เซ็นติเมตร ก็ได้เห็นข้างในเป็นองค์พระที่ปิดทองไว้อีกชั้นหนึ่งค่อนข้างสมบูรณ์ และพระเนตรข้างในก็มีอีกชั้นหนึ่งยังคงสภาพที่ดีมาก ริมพระโอฏฐ์ทาสีแดง เจ้าอาวาสก็เลยให้ช่างสกัดเนื้อปูนที่หุ้มอยู่นั้นออกให้หมด แล้วฉาบโป๊วเนื้อผิวองค์พระใหม่จึงลงรักปิดทองได้ ลักษณะของการที่คนสมัยนั้นได้ฉาบปูนทับองค์พระที่ปิดทองไว้ คนหลายคนส่วนมากเข้าใจว่า กลัวพวกคนพม่าจะมาทำลายองค์พระเพื่อเอาทองไป เมื่อครั้งที่พม่าเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ส่วนเจดีย์เหลี่ยมหน้าโบสถ์เก่านั้นน่าจะเป็นศิลปสมัยอยุธยาตอนต้น นอกจากนี้ยังมีชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายแดงสมัยอยุธยาอยู่บริเรณโคนต้นโพธิ์และต้นมะขามหน้าวิหารหลวงพ่อดำอีกมาก ทั้งอิฐและเนื้อปูนที่ก่อฉาบตัวอาคารอุโบสถ์และวิหารเก่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น